วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก

งานก่อสร้างพื้น : พื้นวางบนดิน พื้นคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อในที่

พื้น ที่เราพบเห็นหลายแบบด้วยกัน คือ พื้นคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อในที่ พื้นสำเร็จรูป พื้นไร้คาน พื้นคอนกรีตอัดแรง เป็นต้น ซึ่งพื้นส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักโดยตรง แล้วค่อยถ่ายน้ำหนักลงสู่คาน เสา ฐานราก ตามลำดับ แต่ในการก่อสร้างบ้านพักอาศัยหรืออาคารที่ไม่ใหญ่มากอาจใช้เป็นพื้นคอนกรีต เสริมเหล็กธรรมดา หรือใช้พื้นสำเร็จรูปก็เพียงพอแล้ว

1. พื้นวางบนดิน

พื้น ประเภทนี้นิยมใช้กับงานที่อยู่ในระดับพื้นดิน เช่น ทางเดินเท้า พื้นอาคาร บ้านพักอาศัย และโครงสร้างรับน้ำหนักมาก เช่น พื้นคลังสินค้า โรงงาน ถนน เป็นต้น

ขั้นตอนการก่อสร้างพื้นวางบนดิน

1.1 การเตรียมพื้นที่สำหรับวางเหล็กเสริม ส่วนที่เป็นที่ต่ำ เช่น แอ่ง ท้องร่อง บริเวณที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ต้องถมและทำการบดอัดให้แน่น หากพื้นคอนกรีตขวางทางน้ำไหล ต้องการทำทางระบายน้ำออกก่อนบดอัดดิน โดยการบดอัดดินต้องได้อัดแน่นตามแบบก่อสร้างระบุ

1.2 สำหรับพื้นอาคารที่มีเสาอาคาร ควรทำแบบหล่อกั้นแยกรอยต่อระหว่างเสากับพื้น เพื่อป้องกันการแตกร้าวของพื้น จากการทรุดตัว พร้อมทั้งทำระดับให้ได้ตามแบบก่อสร้าง รอยต่อของพื้น มีดังนี้

Contraction joint มีไว้เพื่อให้เกิดการเคลื่อนตัวของคอนกรีต เนื่องจากคอนกรีตเกิดการหดตัวแบบแห้ง จากการที่น้ำในคอนกรีตระเหยไปในอากาศ การหดตัวนี้ทำให้เกิดการแตกร้าวของคอนกรีตได้ การทำ Contraction joint เป็นการบังคับให้การแตกร้าว เกิดในตำแหน่งที่กำหนด โดยทั่วไป ควรทำ contraction joint ที่ระยะห่างทุกๆ 24-35 เท่าของความหน้าแผ่นพื้น และแบ่งพื้นเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก ๆ โดยให้อัตราส่วน ด้านยาวต่อด้านสั้น ไม่เกิน 1.5:1.0 ถ้าเป็นไปได้ ควรกำหนดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส

Isolation joint เป็นรอยต่อที่ทำขึ้น เพื่อให้โครงสร้างคอนกรีตส่วนแนวดิ่ง เช่น เสา ผนัง สามารถเลื่อนตัวอย่างอิสระจาก โครงสร้างคอนกรีตในแนวราบ เช่น พื้น เพื่อไม่ให้เกิดการยึดรั้ง อันเป็นสาเหตุให้เกิดการแตกร้าวของโครงสร้างในระยะยาว

1.3 คั่นแผ่นพื้นด้วยวัสดุประเภทโฟมให้แยกออกจากผนังหรือคานประมาณ 1.5 - 2.5 ซม. และควรปรับระดับให้ลาดเอียงเล็กน้อยลงไปบริเวณประตูทางเข้า เพื่อระบายน้ำฝน หรือน้ำจากการทำความสะอาด

1.4 การวางเหล็กไม่ควรวางบนดิน ควรใช้แผ่นพลาสติกปูรองพื้นก่อนเพื่อป้องกันดินด้านล่างดูดน้ำปูน และป้องกันความชื้นจากพื้นดินซึมผ่านแผ่นพื้นคอนกรีตขึ้นมา

1.5 จัดวางเหล็กเสริมให้ได้ขนาด ตำแหน่ง และระยะถูกต้องตามแบบก่อสร้าง วางเหล็กเสริมด้านบนเพื่อป้องกันการแตกร้าวที่ผิวของคอนกรีต

1.6 ติดตั้งแบบหล่อด้านข้างพื้น โดยเคลือบผิวแบบหล่อด้วยน้ำมัน หรือน้ำยาเคลือบแบบหล่อ เพื่อให้สามารถถอดแบบได้ง่าย รวมทั้งการทำความสะอาดแบบหล่อก่อนการเทคอนกรีต

1.7 เทคอนกรีตโดยเริ่มต้นจากมุมด้านในออกมาสู่ด้านนอกแบ่งการเทคอนกรีตทีละส่วน สลับกับการปาดแต่งเนื้อคอนกรีตให้เสมอกันและได้ระดับที่ต้องการ

1.8 ใช้เครื่องสั่นคอนกรีตช่วยทำให้เนื้อคอนกรีตแน่น พร้อมทั้งปาดแต่งผิวหน้าให้เรียบสวยงาม

1.9 ทำการบ่มคอนกรีตต่อเนื่องอย่างน้อย 7 วันเพื่อให้คอนกรีตสามารถพัฒนากำลังได้เต็มที่

2. พื้นคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อในที่

สามารถก่อสร้างได้ 2 ลักษณะคือ การก่อสร้างพื้นร่วมกับคาน หรือการก่อสร้างพื้นหลังการเทคานแล้วเสร็จ

2.1 การก่อสร้างพื้นหล่อในที่ มีขั้นตอนดังนี้

2.1.1 ตรวจสอบระดับหลังคาน ระดับท้องพื้นให้ถูกต้องตามแบบก่อสร้าง

2.1.2 การติดตั้งนั่งร้านเพื่อก่อสร้างพื้นอาจทำไปพร้อมกับท้องคาน หรืออาจก่อสร้างคานแล้วเสร็จก่อนแล้วค่อยติดตั้งท้องพื้น โดยมีค้ำยันที่เพียงพอ แข็งแรง สามารถรับน้ำหนักของคอนกรีต ไม้แบบ และน้ำหนักจรของคนงานขณะปฏิบัติงานได้

2.1.3 จัดวางเหล็กเสริมคาน พื้น ให้ได้ขนาด ตำแหน่ง และระยะถูกต้องตามแบบก่อสร้าง

2.1.4 ทำการเข้าแบบคานและพื้น พร้อมทั้งค้ำยันแบบหล่อให้แข็งแรงสามารถรับแรงดันคอนกรีตได้ และหาระดับการเทคอนกรีต

2.1.5 ตรวจสอบแบบหล่อว่ามีรอยรั่วหรือเข้าแบบสนิทหรือไม่ ถ้าติดตั้งแบบหล่อสนิทแล้ว ทำความสะอาดแบบหล่อ และฉีดน้ำหรือราดน้ำปูนก่อนเทคอนกรีตเพื่อป้องกันไม่ให้ไม้แบบดูดน้ำจาก คอนกรีต

2.1.6 เทคอนกรีตและใช้เครื่องสั่นคอนกรีตทำให้คอนกรีตแน่นตัว พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างคอนกรีตเพื่อนำไปทดสอบหากำลังอัด

2.1.7 เมื่อคอนกรีตแข็งตัวแล้ว ประมาณ 1-2 วัน ถอดแบบด้านข้าง และทำการบ่มคอนกรีตส่วนค้ำยันทิ้งไว้อีก 14 วันแล้วจึงถอดออก

การ ก่อสร้างพื้นพร้อมคานจะช่วยเพิ่มความสามารถในการับน้ำหนักบรรทุกของคานได้ เพราะพฤติกรรมของคานจะเปลี่ยนจากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าไปเป็นรูปตัวที หรือตัวไอ

2.2 การก่อสร้างพื้นสำเร็จรูป มีขั้นตอนดังนี้

2.2.1 คานจะต้องมีแนว (Alignment) ที่ถูกต้อง ค่าความคลาดเคลื่อนไม่น้อยกว่า ±2 ซม.และคานจะต้องมีระดับ (Level) หลังคานที่ถูกต้องและราบเรียบ

2.2.2 ในกรณีที่แผ่นพื้นมีความยาวและน้ำหนักมากแล้วควรจะมีค้ำยันแผ่นพื้นเพื่อไม่ ให้เกิดการโก่งตัวขณะติดตั้งและเทคอนกรีต การวางแผ่นพื้นสำเร็จที่มีความยาวเกินกว่า 2.00 เมตร ควรมีไม้ค้ำยันชั่วคราวอย่างน้อย 1 จุด

2.2.3 ก่อนทำการวางแผ่นพื้นสำเร็จรูป ผู้ก่อสร้างควรที่จะเช็คและตรวจสอบปรับระดับหลังคาน ที่จะวางแผ่นพื้นให้ได้ระดับและสะอาดเรียบร้อยเสียก่อน เพื่อจะวางแผ่นพื้นได้สะดวกรวดเร็วและเพื่อป้องกันการแตกร้าวของแผ่นพื้น ด้วย ตามปกติแล้วถ้าในการก่อสร้างใช้ระบบพื้นสำเร็จในการก่อสร้างคานที่รองรับ แผ่นพื้นนั้นจะต้องเสียบเหล็ก Dowel ไว้ก่อนแล้ว เพื่อเป็นเหล็กป้องกันการร้าวเนื่องจากโมเมนต์ลบ และเพิ่มแรงยึดเหนี่ยว

2.2.4 ในการยกต้องระวังเพราะแผ่นพื้นการเสียหายได้ นำแผ่นพื้นสำเร็จรูปมาจัดวางเรียงชิดกัน โดยตลอดตามแบบที่ระบุไว้ในแบบก่อสร้าง การวางนั้นจะวางพาดในช่วงสั้นของคาน

ใน กรณีเป็นแผ่นพื้น Hollow core จะเหมือนกับการวางแผ่นพื้นธรรมดา การวางแผ่นพื้น Hollow core หากไม่ทำรอยบากรองรับแผ่นพื้นควรวางโฟมรองที่รองับแผ่นพื้นก่อนและทำการยา ร่องด้วย morta

2.2.5 ผูกเหล็กตะแกรงให้ได้ขนาด ระยะห่าง ที่ส่วนบนของแผ่นพื้นตามแบบที่ระบุไว้

2.2.6 เมื่อทำการจัดวางแผ่นพื้นสำเร็จรูป วางเหล็กตะแกรงและเหล็กเสริมพิเศษอื่นเรียบร้อยแล้ว ควรปัดกวาดเศษวัสดุที่อยู่บนพื้นออกให้หมด แล้วฉีดน้ำแบบหล่อ ก่อนทำการเทคอนกรีตทับหน้า

2.2.7 หาระดับเทคอนกรีตและทำการเทคอนกรีต พร้อมกับใช้เครื่องสั่นคอนกรีตทำให้คอนกรีตแน่นตัว ในกรณีที่ต้องหยุดเทคอนกรีตพื้นให้หยุดเทกึ่งกลางพื้น และเก็บตัวอย่างคอนกรีตเพื่อนำไปทดสอบหากำลังอัด

2.2.8 แต่งผิวหน้าคอนกรีตให้เรียบและสวยงาม เมื่อคอนกรีตแข็งตัวแล้วทำการบ่มคอนกรีตทันทีอย่างน้อย 7 วัน ส่วนค้ำยันทิ้งไว้ 14 วัน จึงค่อยถอดออก

บทความโดย : CivilClub Team

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น